วันอังคาร, ธันวาคม 28, 2547

033 | The Day After Yesterday

เจ็บปวดเหลือเกิน….



















ส่งท้ายปีลิงปีนี้มันเจ็บปวดเหลือเกิน….
ความเจ็บปวดครั้งนี้มันซึมลึกเป็นแผลฉกรรจ์ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่โลกเคยประสบมา
ชีวิตมนุษย์กว่าสองหมื่นที่ต้องสูญไป และผลกระทบถึงครอบครัวลูกหลานอีกนับแสนนับล้าน
พอแล้ว..
ผมคงไม่ไปแย่งสื่อกระแสหลักที่เน้นย้ำภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นอีกแล้ว
ขอเป็นบล็อกให้กำลังใจดีกว่า

แม้ประเทศเราต้องสูญ “ค่าเสียโอกาส” ไปกว่าแสนล้านบาท
ด้วยทรัพยากรทางทะเล ธรรมชาติที่ไม่อาจประเมินค่าได้...
มรกตแห่งอันดามันต้องซบเซาต่อไปอีกนานหลายสิบปี ..หรืออาจหลายร้อยปี

ประเทศญี่ปุ่นหลังแพ้สงคราม แม่งฉิบหายย่อยยับอย่างระยำ
มันยังสามารถฟื้นประเทศได้
แล้วประเทศไทยล่ะ เราแข็งแรงกว่าญี่ปุ่นในตอนนั้นตั้งแยะ
ทำไมเราถึงจะฟื้นไม่ได้ล่ะ!


ในความเจ็บปวดครั้งนี้ ผมได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่เป็น “ของจริง” ของทุกฝ่ายทุกหน่วยงาน
ทีมแพทย์ พยาบาล ที่ทรงประสิทธิภาพเกินตัวอย่างมาก (เป็นที่สุดของฮีโร่จริงๆ)
ทีมมัคคุเทศก์ทุกภาษามารวมตัวกันครั้งใหญ่เพื่อสานพลังกับสถานฑูต
ในการติดต่อช่วยเหลือกับผู้ประสบภัยแต่ละประเทศ
ทีมข่าวสาร ที่เผยแพร่ข้อมูลทุกสื่ออย่างต่อเนื่องโดยยอมตัดรายการปัญญาอ่อนทิ้งไปหมด
เลือแต่ความคืบหน้าของ Breaking news ครั้งนี้
บริษัทมือถือ บริษัทอินเทอร์เน็ตก็ยังเปิดให้บริการฟรีเพื่อช่วยเหลือในด้านการสื่อสารซึ่งสำคัญมากที่สุดในตอนนี้
หรือแม้แต่พรรคการเมืองที่กำลังหาเสียงอยู่ก็ต้องหยุดกิจกรรมการเมืองทุกอย่างเพื่อทุ่มกำลังลงไปช่วย
แม้บางคนอาจจะมองว่าเป็นวิธีหาเสียงแบบเหนือเมฆก็เหอะ
แต่ผมว่าใครที่คิดจะหาเสียงได้ในเวลาแบบนี้แม่งต้องโดนคลื่นดูดตายห่าไปให้หมด ..ไอ้สัตว์นรก

ทุกหน่วยงานราชการ ทหาร (กองทัพอากาศด้วยยย) มูลนิธิ หน่วยงานการกุศล
สถาบันปกครองทุกระดับ สถาบันการเงิน สถาบันธุรกิจ นักวิชาการ ประชาชน เอกชนทุกฝ่าย
ต่างก็ช่วยกันทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีที่สุด

แม้แต่กรมอุตุที่หลายคนแม่งอุตส่าห์โยนบาปไปให้ว่าเพราะมึง (แผ่นดินไหวเนี่ยนะ ยังด่ารัฐบาล??)
ก็ยังออกมายอมรับอย่างจริงใจ ไม่มีโยนขี้ต่อไปให้หน่วยอื่นอย่างที่เคยปรากฏมา
และรับหมายอย่างมั่นเหมาะว่า ก่อนวัวหายครั้งต่อไป
จะต้องมีการสร้างคอกที่แข็งแรงแน่นหนาพอที่จะรับมือกับมัน
(นาทีนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นความผิดของใครแล้วครับ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาหาคนผิดแล้ว
ถ้าผิดก็พระเจ้านั่นแหละ เสือกเลือกเอาวันหยุดคริสต์มาสมาใช้พิพากษาโลกเนี่ย)

สุดท้ายนี้ผมไม่ขออธิษฐานใดๆ แต่การเขียนบล็อกครั้งนี้
คงมีส่วนช่วยสร้างพลังบวกให้กับเหตุการณ์ที่ว่าได้
อย่างน้อยๆ สารที่ผมจะสื่อก็สามารถส่งถึงคนที่เข้ามาอ่านได้
แม้เพียงน้อยนิด แต่นั่นก็เป็นหน้าที่ของผมในฐานะสื่อหนึ่งที่จะพึงกระทำครับ

กินยาเยอะๆ แล้วพักผ่อนนะครับ ประเทศไทยที่รัก
ตื่นมาปีใหม่ ทุกอย่างก็จะกลับมาดีขึ้นเรื่อยๆ จน(อย่างน้อยที่สุดก็เกือบ)ดีดังเดิม


ป.ล.การขยับกายของปลาอานนท์ขี้เมื่อยตัวนี้เป็นสัญญาณเตือนเราว่า
ต่อไปในอีกไม่ช้าก็จะเมื่อยอีกรอบ
อย่าลืมนะครับว่านี่เป็นครั้งแรก ..แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

ป.อ. ขออภัย บล็อกวันนี้ไม่มีภาพครับ .. ไม่มีอารมณ์ขันแล้ว
แต่อยากให้เปิดเพลงประกอบจากหนังเรื่อง ID4 ตอนที่ประธานาธิบดีปลอบปลุกขวัญชาวโลกไปด้วย

ป.ฮ. หมอดูคนนึงออกมาบอกว่า นี่ไง เราเตือนคุณแล้ว
ดาวเคราะห์บาปมาเยือนห่าเหวเหี้ยอะไรสักอย่าง
พอเถอะครับ… พอเถอะครับ.. ผมกราบตีน

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 23, 2547

032 | ปีใหม่คือใกล้ตาย ห่าดิ้น


สวัสดีปีแก่โว้ย
ปีใหม่คือใกล้ตาย
เกิดจนแก่เป็นควาย
แก่แม่งหมดทั้งสิ้น
หยาบคาย
ห่าดิ้น
ยังเสือก ลืมตัว
หยุดได้ ..อวยพร

ปีใหม่ใหม่ก็เพี้ยง
จากธนาคารออมสิน
นานนานก็เริ่มชิน
พอเก่ากระดาษกร้าน
ปฏิทิน
แปะบ้าน
พาลเบื่อ เองนา
ฉีกทิ้ง อีกปี

ป.ล. ไม่อวยพรนะครับ อยากได้พรต้องทำเอง.

วันอาทิตย์, ธันวาคม 19, 2547

031 | พ่อมึงตาย





เพื่อนผมตาย

เป็นเพื่อนรักสมัยมัธยม เราเรียนมาด้วยกันตั้งแต่ ม.1
ไอ้อี๊ดมันเก่งภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทุกชนิด
มันเอ็นเข้าวิศวะลาดกระบังได้พร้อมๆ กับเพื่อนอีกกลุ่มนึง
แล้วอุบัติเหตุก็พามันหนีไปจากผม
วันเสาร์ (18 ธ.ค.) ที่ผ่านมาผมไปงานเผาศพมันเพื่อจะขอคุยกะมันเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนที่จะเลิกคบกันอย่างเป็นทางการ

พิธีศพในวัดมหาธาตุ เพชรบุรี จัดขึ้นเรียบๆ แต่ก็ครบสูตรตามขนบประเพณี
ไม่มีระบบศาลาสามศาลาสี่อย่างในกรุง (ให้รู้สึกเหมือนไปเช่าล็อกเผาคน)
แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกอย่างที่เคยได้ยินมาว่า
พระเขาสวดให้เราฟังนะ ไม่ได้สวดให้ไอ้อี๊ดมันฟัง
มันตายห่าไปแล้ว.. มันจะมาดำรงชีวิตให้ถูกให้ควรในอนาคตไม่ได้แล้ว
พวกเราที่ยังเหลือลมหายใจอยู่นี่สิที่จะต้องเข้าใจภาษาบาลีนั่น (สวดว่าอะไรวะ ..กูงง)
และดำรงชีวิตต่อไปแทนไอ้อี๊ดมัน


วันนั้น.. วันที่ไอ้อี๊ดตาย ผมยังเป็นทหารใหม่อยู่ที่กองร้อยอยู่เลย
ยัยกิ๊บ เพื่อนผมโทรมาบอกให้ทำใจดีๆ ไว้.. อี๊ดตายแล้วนะ
อยากให้คุณนึกภาพผมอยู่ในการ์ตูนญี่ปุ่นช่องล่างขวาเล็กๆ..ฉากหลังสีดำ
แล้วหน้าต่อมาเป็นรูปผมถือโทรศัพท์รูปเดียวสองหน้าเต็มๆ ขาวๆ..







ว่างๆ.....









โทรศัพท์ไม่ได้หล่นจากมือเหมือนในละครช่องเจ็ดหรอก
(ถ้าเกิดเหตุการณ์ยังงั้นจริงคงสงสารคนถือสายอีกฝั่ง แม่งเป็นห่าอะไรเปล่าวะไม่พูดตอบกู)
แต่ใจผมมันวิ่งไปที่ไหนแล้วไม่รู้... ความสูญเสียเกิดขึ้นใกล้แค่ลมพัดข้างหูนี่เอง

fade in:
ภาพความทรงจำระหว่างผมกับมันค่อยๆ ฉายสไลด์ออกมาทีละฉาก ละฉาก
ตามโปรแกรมที่สมองตั้งเอาไว้
ตั้งแต่เรียนด้วยกัน หนีปีนขึ้นเขาวังหลังโรงเรียนด้วยกัน
เข้าค่ายลูกเสือด้วยกัน ดูหนังโป๊ด้วยกัน ตั้งวงดีดกีต้าร์ด้วยกัน
ไปเที่ยวด้วยกัน ไปนอนบ้านมัน ตามมันไปดูเขาเรียนพิเศษที่สยาม
ฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯ
fade out:


ผมระดมโทรหาเพื่อนแต่ละคนเพื่อแจ้งข่าวก็พบว่าผมคงเป็นคนท้ายๆ ในห้องแล้วที่รู้ว่าเพื่อนคนนี้จากไป
เพราะว่าการติดต่อเข้ามาในกองร้อยในขณะที่ยังเป็นทหารใหม่อยู่นั้น
เป็นเรื่องแทบจะต้องห้ามอย่างเด็ดขาดเลย (แต่ผมก็ยังแอบเอามือถือเข้าไปไงเลยโทรได้ 55)
ในโทรศัพท์หลายสายที่โทรไป เป็นเสียงเพื่อนผู้ชายด้วยกันแท้ๆ
ที่ในเวลาปกติแล้วจะไม่มีวันได้เห็นเห็นแววตาเศร้าสร้อยแม้แต่นิดจากมัน
แต่วันนั้น..เสียงมันกลับสั่นเครือ
ไอ้เหี้ย มึงร้องไห้เหรอ กิ๊วๆ... ไม่สิ.... กูสิน่าจะร้องไห้ตามพวกมันใช่ไหม
แต่ถ้าร้องแล้วแม่งฟื้น กูก็จะร่วมโหวตอีกเสียงนึง


วันนั้นผมไม่ได้ร้องหรอก แต่เจ็บแค้นใจนิดหน่อยว่าทำไมกูขออนุญาตถึงไปงานศพมันไม่ได้
ถ้าเพื่อนจ่าที่คบกันมาสิบปีเกิดตายห่าขึ้นมามั่ง จ่าจะไปไหม หรือจะนั่งกระดิกตีนดูทหารฝึกต่อไป
วันนั้นผมคิดยังงั้นจริงๆ

วันต่อมาผมคิดเรื่องความตายของตัวเอง
ถ้ากูตาย แม่กู พ่อกู เพื่อนกู แฟนกู เว็บกู (ห่วงเว็บอีกนะ..ไอ้ห่า) ใครวะจะดูแล
กูยังอยากทำไอ้โน่น อยากมีไอ้นี่ อยากได้ไอ้นั่น อยากหัดไอ้นู่น
กิเลสในทางโลกกูยังมีอีกเพียบเลยนี่หว่า
ดังนั้นกูจะตายไม่ได้!!
แต่มานึกดูอีกที คนเรามันสามารถตายได้ทุกที่เลยนะ เชื่อไหม
อยู่ในบ้าน ก็อาจมีรถบรรทุกวิ่งเข้ามาชน (มีจริงๆ เป็นข่าวเมื่อเดือนก่อนนี่เอง หนูน้อยดับไปสอง)
อยู่ในห้องที่ปลอดภัยที่สุด ก็เกิดหัวใจวายตายขึ้นมาได้
หรือไปอยู่กลางทะเลทรายที่ไม่มีเหี้ยอะไรที่จะมาฆ่าคุณได้เลย
ก็ยังอาจจะเสือกโดนอุกกาบาตหล่นใส่หัวตายได้เหมือนกัน
(เคยอ่านเจอคดีที่ฝรั่งโดนอุกกาบาตลูกเล็กๆ หล่นใส่หัวตายมาแล้ว แม่งซวยสัดกะหมา)
แสดงว่าจริงๆ แล้วนรกก็ไม่ได้เงียบเหงาอย่างในโฆษณาที่เราเห็นตลกๆ ซะหน่อย
ของจริงอาจจะต้องจองตั๋วคิวยาวเหยียดก็ได้ ใครจะรู้

วันต่อๆ มาผมก็ยังคิดวนเวียนในเรื่องการสูญเสียคนที่เรารัก เราผูกพัน
วันนึงพ่อผมกะแม่ผมต้องก็ตาย (พ่อผมอ่านบล็อกนี้ด้วยนะ ตอนนี้คงสำลักอยู่)
ผมก็ต้องตาย คุณก็ต้องตาย
ไอ้พวกที่มาอ่านแล้วเสือกยังไม่ยอมโพสก็ต้องตายห่ากันทั้งหมด
ตายกันทั้งนั้นแหละคู้ณ... เพียงแค่ว่าจะช้าหรือจะเร็ว จะตายห่าหรือตายโหงเท่านั้นแหละ
อย่าว่าแต่พวกเราเลยที่ต้องตาย
คุณสืบ นาคะเสถียรแกยิงตัวตาย แต่กระสุนนัดนั้นสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงให้กับบ้านเรา
คุณเจริญ วัดอักษรแกโดนฆ่าตาย แต่ชื่อของแกจะเป็นที่
ขนาดพระพุทธเจ้า หรือพระเยซู ที่ตายไปตั้งนานแล้ว
แต่ก็ยังเป็นฮีโร่ในใจของคนทั้งโลกไปตลอดกาล
เพราะอะไร.. คุณก็รู้

แล้วผมล่ะ -- แล้วพวกคุณล่ะ..
อยากจะแค่ตายๆ ไปให้ตัวเองกลายเป็นฝุ่นผงปลิวว่อนไปตกหลังคาบ้านเขา
หรือตายไปโดยที่ชื่อของเรายังเป็นสัญลักษณ์อะไรสักอย่างที่มีคนกล่าวถึงด้วยความภูมิใจ
เลือกเอา.


ป.ล.
ปีใหม่ที่จะถึงนี้ อย่าพากันประสบอุบัติเหตุจนตายห่าหนีไปจากผมนะครับ
โปรดกลับมาโพสกันให้ครบๆ พร้อมหน้าพร้อมตา
ใช้ชีวิตอยู่ในสติ ไม่ประมาท ไม่เมา ไม่มั่ว
ผมจะได้ไม่ต้องเป็นไปนั่งฟังคอนเสิร์ตที่พระร้องเพลงอินดี้ในงานศพของคุณ
(นี่คือคำอวยพรปีใหม่ของบล็อกนี้.. เข้าใจมะ)

ป.อ.
บล็อกวันนี้ไม่ได้จะชักนำใครๆ เข้าสู่ทางธรรมของศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น
เพียงแค่เล่าเรื่องของผม และความรู้สึกส่วนตัวของผมให้อ่านเท่านั้น
ใครจะมาเสือกบรรลุโสดาบันกลางบล็อกหยาบคายนี่.. คงอายเขานะ

ป.ฮ.
ตอนเรียนมหาลัย ผมชอบด่าคนนั้นคนนี้ พ่อมึงตายๆๆๆ สนุกปาก
แต่วันนึงผมด่าไอ้เปรี้ยว (รุ่นน้องที่คณะ) ตามปกติ
เจ็ดวันต่อมา มันหน้าเศร้าๆ ไม่เล่นมุก ไม่ตลก เพื่อนมันก็ดูเงียบๆ ไป
ปรากฏว่าพ่อมันตายจริงๆ............................
ผมก็เลยเลิกใช้วาจาสิทธิ์ตั้งแต่นั้นมา แต่เปลี่ยนเป็น "ไอ้พ่อตา" + "ไอ้แม่ยาย" แทน
น่ารักไหมครับ

วันเสาร์, ธันวาคม 11, 2547

030 | แหวะ


เมื่อหัวค่ำ เจ้าของร้านชวนไปนั่งกินข้าวด้วยกันที่หน้าร้าน
พิธีรีตองไม่มีอะไรยาก เดินไปสั่งอาหารตามสั่งร้านข้างๆ แล้วสั่งข้าวเล่ามาเป็นจานๆ
นั่งเล็มกันไปเรื่อยๆ ปากก็สลับโหมดไปมาระหว่างโหมดกินกับโหมดพูด
ไข่เจียวหมูสับร้านนี้อร่อย
อร่อยจนกระทั่งพี่แกเจอแมงวันตัวนึงนอนกรอบเกรียมอยู่ในฟองไข่นั่นแหละ ถึงได้หยุดกิน
แล้วส่งสายตาพร้อมสบถคำพูดบางอย่างออกมา
(ผมเขียนไม่ได้ กลัวมันจะหยาบคาย)

เอ่อ.. จริงๆ แล้ว
ผมว่าในชีวิตเรานี่อาจจะเคยกินไอ้พวกนี้โดยที่ไม่รู้ตัวมาหลายทีแล้วก็ได้

ข่าวหนังสือพิมพ์ในช่วงนี้มีข่าวเกี่ยวกับ "สิ่งแปลกปลอม" ในอาหารตั้งแยะ


- แหนมนิ้วจากโรงงานแหนมที่สมุทรปราการ
คนงานเผลอทำนิ้วตัวเองหล่นเข้าไปในเครื่องบดแหนม และลูกค้าก็เป็นนักศึกษาผู้โชคดี
กัดแหนมแต่เจอปลายนิ้วมีเล็บติดด้วย..อ้วกหมดไส้หมดพุง


- ข้ามหลามตะขาบ ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย นี่เป็นคดีที่สยองที่สุดที่ผมอ่านมา
ปกติเป็นคนกลัวและเกลียดตะขาบเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาความกลัวทั้งมวลอยู่แล้ว
แต่ผู้โชคดีคนนี้ซื้อข้าวหลามมา แต่พอแกะออกมาก็เจอตะขาบตัวยาวเป็นคืบๆ ดับอนาถอยู่ข้างใน
เย็ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดครกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
คาดว่าตอนหลามข้าวหลาม (ยังไม่ได้กรอกน้ำเข้าไปในข้าวหลาม) เนี่ย
ตะขาบที่นอนหนาวอยู่แถวนั้นเห็นเข้า ก็เออ ท่าจะอุ่นดีวุ้ย กูเข้าไปอาศัยนอนในกระบอกดีกว่า
ว่าแล้วก็โดนกรอกน้ำใส่ กรอกข้าวใส่ แล้วเอาใบตองม้วนๆ ยัดปิดปากกระบอก
ดับอนาถ!! (คนที่อนาถกว่าคือคนที่ซื้อไปเนี่ยแหละ เป็นผมล่ะคงลาบวชสักสามพรรษา)


-ข้าวหลามปลิงควายอันนี้ก็น่าผะอืดพะอมเหมือนกัน
แต่สำหรับผมถ้าเลือกกินได้จะแดกปลิงนี่ดีกว่า เพราะดูยังไงๆ ก็คงน่ารักกว่าฟัคกิ้งตะขาบนั่น -_-'


แต่เท่าที่ประสบกะตัวเองโดยตรง มีไม่มากนักแต่ก็ถือว่าน่าเอามาเล่าในบล็อก
เผื่อว่าใครกำลังกินข้าวกินหนมอยู่ อ่านไปจะได้เกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมาบ้าง

01 | ขนในก๋วยเตี๋ยว
ตอนเรียนปีสามรึปีสี่ ผมก็กินก๋วยเตี๋ยวบนโรงอาหารของมหาลัย
ซึ่งร้านนี้เป็นร้านหนึ่งในไม่กี่เจ้าบนยูเนี่ยน (ชื่อโรงอาหาร) เอาวะ แดกๆๆๆ
ปรากฏว่ากินๆ ไป มันมีอะไรแลบออกมาจากปาก
ก็ดึงออกมา (นึกภาพตาม) ... มันเป็นขนมนุษย์ครับ ขนหยอยๆ
ที่ไม่น่าจะเป็นขนที่งอกออกมาจากหนังศีรษะได้เลย ...
ผมก็ได้แต่ภาวนาว่าน่าจะเป็นขนจั๊กกะแร้ของป้าเรียมที่แกสะบัดตะหลิวมันส์มือจนมันร่วงลงไป
โอเค.. น่ากินขึ้นเยอะ (แต่ก็อุบาทว์อยู่ดี)
แต่ผมก็กินก๋วยเตี๋ยวชามนั้นจนหมดนะ ไม่ได้รู้สึกแปร่งอะไร.. เพราะมันก็อร่อยดี

02 | ในขวดน้ำ
ย้อนกลับไปสมัย ม.ต้น
ผมไปเดินป่าที่เขาพะเนินทุ่ง แต่ตอนกลับมาน่ะ น้ำที่เตรียมไว้เสือกหมดสต็อกฉิบ
เวรละสิกู คอแห้งผากเลย ยังต้องข้ามเนินอีกแปดลูกกว่าจะถึง
ผมก็เดินทรมานไปเรื่อยๆ ในใจนึกสาปแช่งคนที่แม่งค้นพบไอ้น้ำตกสัดหมานี่
มึงน่าจะตัดถนนทำลายธรรมชาติเข้ามาจ่อยันน้ำตกชั้นสามเลยนะ จะได้หมดเรื่องหมดราว ..อีห่า
ผมบ่นไปๆ ก็เหมือนเจ้าป่าเจ้าเขารู้ใจ เลยส่งขวดน้ำโพลาริส (ขวดขุ่นน่ะ)
ถึงแม้ท้องตลาดจะขายกันในราคาขวดละห้าบาท แต่ชั่วโมงนั้นถ้ามีขาย แพงแค่ไหนผมก็ซื้อ!!
ว่าแล้วก็รี่เข้าไปกระดกอั้กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ระดับน้ำค่อยๆ ลดจากครึ่งขวด ลงมาเป็น 1/3 1/4 1/5 1/6 ..และ..
มีพลาสเตอร์ยาใช้แล้วนอนอยู่ก้นขวด.. (มีแผลหนองๆ ด้วย)
สภาพตอนนั้นเหมือนป่าทั้งป่าเปลี่ยนเป็นสีขาวดำเหมือนย้อนไปภาพอดีต
ใบไม้หยุดไหว เสียงนกเสียงแมลงที่เคยร้องเซ็งแซ่ก็พลันหยุดกึก
....ผมไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกนั้นยังไง มันสุดจะบรรยายจริงๆ เหมือนร้องโอ๋ววววว
โดยที่ไม้จัตวาเหนือ อ.อ่างมีซ้อนกันสัก 537 ตัว (ลองออกเสียงดูสิ โอ๋ววววว)

555 ออกเสียงจริงๆ ด้วย บ้ารึเปล่า ร้องประหลาดๆ อยู่หน้าคอม
ตอนนั้นผมโคตรอยากจะอ้วกเลย แต่ก็เสียดายน้ำ
แม่ง...ใครแกล้งกูวะ ถ้าเสือกเข้ามาอ่านบล็อกกูก็โพสสารภาพมาซะดีๆ นะโว้ยยย

03 | ในขวดน้ำอีกที
อันนี้สั้นๆ คือย้อนกลับไปตอนเด็กมากๆ ผมตื่นขึ้นมากลางดึก หิวน้ำวุ้ย
ขี้เกียจเปิดตู้เย็นด้วย เดินมาเจอขวดน้ำตั้งเปิดฝาอยู่บนโต๊ะกินข้าว
จับกระดกๆๆๆ จนเห็นสิ่งที่หลับไหลอยู่ก้นขวดได้ถนัดตา
มันคือแมงป่องครับ นอนหมดลมหายใจอยู่ก้นขวด
พร้อมๆ กับลมหายใจของผมที่เกือบหมดลงโดยพลัน
สมัยนั้นผมยังเป็นแอนสุภาพอยู่ ไม่งั้นนะ กูจะร้อง โอ๋ววววววว ให้ลั่นเรือนเลยทีเดียว




ไง ..
อ่านจนจบแล้วเริ่มรู้สึกว่าแมงวันสุกๆ กรอบเกรียมในมือเย็นของผมน่ากินขึ้นรึยัง

วันศุกร์, ธันวาคม 10, 2547

029 | เช้าหนาว



หายหน้าจากบล็อกไปซะนาน
ไม่ได้ไปไหนหรอก และก็ไม่ได้มุกตันด้วย
แต่คือมันไม่มีเวลามานั่งพร่ำเขียนนานๆ และวาดรูปประกอบแปะในบล็อกซะที
เฮ้ออออออ

เวลาผมแหกขี้ตาตื่นมาตอนเช้าเพื่อไปเข้าทำงานในกองทัพฯ เนี่ย
มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกะสมัยทำงานอยู่ออฟฟิศก่อนที่จะโดนใบแดงเป็นทหารเลย
(จริงๆ แล้วก็ทำงานอยู่แค่เดือนเดียวนี่หว่า พูดซะเหมือนนานเป็นลุง)
คือ มันต้องตื่นมาเพราะเสียงนาฬิกา (โทรศัพท์) ปลุก แล้วก็กดหยุดเพราะความงัวเงีย
แล้วก็มาสะดุ้งอีกทีตอนนาฬิกาปลุกเตือนเป็น dead line ครั้งสุดท้าย
ฉิบหายแว้ววววว/ลุกๆๆๆ/ไม่อาบน้ำแหละ/แปรงฟันๆๆ/โอ๊ย แปรงทิ่มเหงือก/
เลือดเต็มเลย เลือดออกตามไรฟันเปล่าวะ/ช่างแม่ง/บ้วนปาก บุ๋งๆๆๆๆ/พรวดดด/
แต่งตัวๆๆๆ/กางเกงในอยู่ไหนวะ/ตากอยู่หลังร้าน!!!/ฉิบหาย ในห้องดันปิดไฟไว้/
เดินข้ามหัวพี่โอมที่นอนอยู่/เปิดประตูหลังร้าน/อุ๊บ เสียงดัง ตื่นเปล่าวะ/ใส่กางเกงในๆ/
เสื้ออยู่ไหน/ทำไมหนาวจังวะ/(ถอดเสื้อเดิมออก)/บรื๋ออออออออออออออออ/
ใส่เสื้อรองในก่อน/เจี๊ยกกกกกกกก/เย็นเฉียบยังกะผ้าเปียก/ใส่เสื้อนอกด้วยๆ/
เจี๊ยกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก/
ไม่ได้ช่วยให้อุ่นขึ้นเลย/ดึงเสื้อนอกออกมา/โปะแป้งที่จั๊กกะแร้/ใส่เสื้อ ติดกระดุม/
กางเกงๆๆๆ/รูดซิบ/โอ้ยยยยยยย หนีบบบบ/ไม่น่าซื้อกางเกงในตัวเล็กเล้ย ..รัดติ้ว/
เอาวะ รองเท้าๆๆๆ/เฮ้ย ถุงเท้าก่อนนนนน/ใครคิดรองเท้าคอมแบทขึ้นมาวะ ใส่ยากจิ๊บ/
วิ่งไปหน้าร้านนนน/รอรถๆๆๆๆๆๆๆ/ๆๆๆๆๆ/ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ/ๆๆๆๆๆๆ/มาซะทีสิวะ/ๆๆๆๆๆๆๆ
...

รู้สึกตัวอีกทีผมก็มานั่งสัปหงกอยู่ในรถเมล์แล้ว
อากาศช่วงนี้กำลังหนาวได้ใจเลยทีเดียว.. ขนาดอยู่กรุงเทพนะเนี่ย
คุยกะก้อยที่อยู่เชียงใหม่แล้วอยากไปเที่ยวมากๆ เลย ได้ข่าวว่าหนาวจัด
หนาวขนาดที่ว่า ยืนเยี่ยวเสร็จแล้วไม่ต้องสะบัด แต่หักท่อนน้ำแข็งทิ้งได้เลย
แต่เยี่ยวเสร็จแล้วต้องรีบพับเก็บด้ามเยี่ยว เพราะไม่งั้นจะมีแม่คะนิ้งเกาะที่ปลายหะมะอะยะ

นานๆ ครั้งผมจะได้นั่งสักที
เพราะเครื่องแบบทหารที่ใส่อยู่มันเป็นเครื่องหมายแห่งความมีน้ำใจ
คือ ถ้าลองมึงเป็นทหารซะอย่าง ไม่ว่ามึงจะเจอเด็ก สตรี หรือคนชราก็ตาม มึงต้องลุก!!
ผมเคารพในกติกาสังคมที่ให้ผู้ชาย (โดยเฉพาะชายในเครื่องแบบ)ต้องลุกให้กับใครก็ตามที่ดูจะอ่อนแอกว่า
แต่จะว่าไปมันก็น่าน้อยใจอยู่เหมือนกันที่แม้จะง่วงจะเหนื่อยขนาดไหนก็ต้องทนยืนจนถึงจุดหมาย
แต่ไม่ใช่เช้านี้...
เพราะผมหลับครับ นั่งหลับจริงๆ
ตื่นมาก็สะดุ้ง มองไปรอบทิศ.. นี่มันถึงไหนแล้ววะ
พอเห็นสภาพแวดล้อมรอบทิศเป็นที่คุ้นตาก็โล่งใจ อีกหลายป้ายกว่าจะถึง
แต่ที่แน่ๆ คือผมนั่งด้านใน ชิดหน้าต่าง มองไปรอบๆ ก็เห็นทั้งเด็ก สตรี และคนชรายืนอยู่กันครบ..
แต่จะลุกก็ลำบากเพราะผมนั่งอยู่ด้านใน ก็เลยไม่ลุกแม่งเลย ถือเป็นโอกาสอันดี


ในรถคันนี้ ผมพบข้อสังเกตอยู่อย่างนึง
ถึงแม้มันจะวิ่งเร็ว มีลมพัด มีเสียงเพลงลูกทุ่งจากลำโพงดังลั่นเปรอะเปื้อนเต็มรถ ไหลออกถนน
แต่มันก็ยังมีความเงียบเกิดขึ้น เป็นความเงียบท่ามกลางเสียงอึกทึกของการจราจรทั้งปวง

ไม่มีใครคุยกันเลย เพียงเพราะว่าไม่มีใครรู้จักกัน
มันจำเป็นด้วยเหรอที่คนที่ใช้ชีวิตต่างๆ กัน แต่เส้นชะตามาแตะกันเพียงผิวๆ ที่รถคันนี้
จะต้องคุยกัน จะต้องทำความรู้จักกัน จะต้องทำลายกำแพงความเงียบที่ต่างก่อให้กัน
เหมือนกับนั่งอยู่ในรถไฟฟ้า..
เหมือนกับยืนร่วมลิๆฟต์กับคนที่ไม่รู้จัก..

มันเหงานะ





















อากาศหนาวที่มาในคราวนี้ พกความเหงามาด้วยเต็มๆ
มันไม่ได้เคาะประตูบ้านอย่างที่ใครๆ ว่าไว้หรอก (ขืนอยู่ดีๆ มีลมหนาวมาเคาะประตูบ้านนี่คงสยองพิลึก)
แต่มันมากับอณูอากาศที่ลอยอยู่รอบๆ ตัวเรา
ความเงียบทำให้เหงา ความหนาวก็ยิ่งทำให้เหงา
ถึงจะมีใครให้ใจอุ่นแล้ว
แต่เช้ามืดอย่างนี้ นังคนที่เป็นเตาผิงของผมมันคงยังนอนตูดโด่งซุกอยู่ใต้ผ้าห่มเหมือนเดิม
เฮ้อ...

(พอถอนหายใจ มีไออุ่นๆ เป็นเหมือนควันลอยออกจากปากเหมือนปอบถ่ายวิญญาณ)
ผมเดินลงจากรถเมล์คันที่ว่า แล้วเดินข้ามสะพานลอยเข้าสู่กองทัพ
อืม.. วันนี้มาแบบเน่าๆ หวังว่าคงไม่เลี่ยนนะ

วันจันทร์, ธันวาคม 06, 2547

028 | ใครหยาบคายกันแน่


แอน : สวัสดีครับ
บลิว : ฮ่าย
แอน : *-*
บลิว : อยากไปล้างป่าช้า
แอน : ?
บลิว : วันนี้พูดเพราะ ใช่พี่แอนนี่เหรอวะ
แอน : ใช่ครับ พี่แอน
แอน : ชื่อไรอะ
บลิว : นะ
บลิว : ไม่ใช่แล้วล่ะ
บลิว : งั้นอ่ะ
บลิว : เหอๆ
แอน : อ่าว
แอน : ไมอะ
บลิว : แฟนพี่แอนนี่ เหรอ?
บลิว : หุๆ
บลิว : แน่นอนเรย
แอน : "Sex ทำให้ผู้หญิงหมดค่า ... แต่ ... ทำให้ผู้ชายมีประสบการณ์" จิงๆ หรอ
บลิว : คิดว่างั้นป่ะล่ะ?
บลิว : ตกลง เป็นแฟนพี่แอนนี่ ใช่ป่ะ?
แอน : แอนนี่?
แอน : เราชื่อแอนเฉยๆ
บลิว : ท่าทาง จะแอบเอา เมลล์ของพี่แอน มาเล่นล่ะซี่
บลิว : หุๆๆ
บลิว : ไม่ตอ้งอำร๊อก
บลิว : เคยทำเหมือนกัน
บลิว : ตอนเล่น เมลล์ของแฟน
บลิว : หึหึ
แอน : ....
แอน : แล้วคุยด้วยไม่ได้หรอ
แอน : ชื่อไร เธออะ
บลิว : ได้จ้า
บลิว : ตกลง อยากรุ้ไง ว่าใช่แฟนพี่ แอน เค้าป่าวอ่ะ
แอน : เอิ๊กๆ
บลิว : ไม่ใช่ไรหรอ กที่ถาม จะได้คุย แบบไม่หยาบ
บลิว : หะหะ
บลิว : เพราะเรามันก็ผู้หญิงเหมือนกัน
บลิว : เคิ้ก
แอน : ปกติคุยหยาบ??
บลิว : แน่นอน
บลิว : หยาบมาก
บลิว : คุยแบบ ผู้หญิงถ่อยๆ
บลิว : อิอิ
บลิว : ชื่อบลิวจ่ะ อายุ 21
แอน : น้องเรา 2 ปี
บลิว : พี่ชือ่ไร?
แอน : เราชื่อแอนนะ
แอน : แอนนี่ ศรีอิสานน่ะ
แอน : กร๊ากกกกกกก
บลิว : ค
บลิว : ว
บลิว : ย
แอน : เอาไปเผาในบล็อกดีฝ่าโว้ยยยยยยยยยยยย
แอน : กร๊ากกกกกก
บลิว : ตามบาย
บลิว : ห่า







ป.ล. สดมากครับอันนี้ คุย msn ปั๊บโพสเลย
หวังว่าคงไม่ได้รับอนุญาตจากนังบลิว 555
(ช่วงนี้ผมว่าบล็อกผมมันหนักเกินไป เดี๋ยวอ่านแล้วท้องผูก)

ป.ล.บอกแล้วผมมีแฟนแล้ว เชื่อยัง
ขอโทษนะครับสาวๆ ทั้งประเทศ..
ไม่สิ ..ทั้งโลก (กร๊ากกก)


ป.ล. เรื่องพับนกยังไม่จบ ผมได้รับคลิปมาจากน้องฝน เอาไปดู น่ารักดี *-*

** แก้ไขเมื่อ 8 ธ.ค. 47
คือ เอา video มรใส่ในนี้แล้วทำให้เครื่องเจ๊งไปหลายแระ
เอาเป็นว่าใครอยากดูเขาโปรย+เก็บนกกัน
ก็คลิกไปตามลิงค์นี่ได้เลย ขอบคุณน้องฝนสาดดดดดครับ

- ตอนเครื่องบินมาโปรย
- คนแย่งกันนัว

วันศุกร์, ธันวาคม 03, 2547

027 | นกต่อ



ชีวิตมันช่างพลิกผัน!!!
วันก่อนผมเพิ่งด่ารัฐบาล ด่าห่าด่าเหวเขาไปทั่ว
ก็ไอ้เรื่องพับนกเนี่ยแหละ ว่าคุณจะโปรยไปทำม้ายยยย
คนใต้เขาไม่ได้ซึ้งไปกะละครที่คุณจัดฉากขึ้นมาหรอก

สองสามวันต่อมา มีคำสั่งด่วน
ให้ผมย้ายไปประจำการ ณ ห้อง ผบ. ระดับสูงท่านนึงในกองทัพอากาศ!!
และวันนี้ผมก็ได้เป็นคนไทยคนหนึ่งที่แทบจะได้อยู่ชิด
กับสถานที่ถ่ายทำฉากไคลแมกซ์ของละครเรื่องนั้นจนได้

ก็วันนี้ ฯพณฯ ท่าน ... พิมพ์ยากเว้ย เอางี้
วันนี้ท่านเหลี่ยม พระเอกการ์ตูนขบวนการแกล้งจนอันโด่งดัง
ท่านไปทำพิธีมอบนกที่ฝูงบิน 601 กองทัพอากาศดอนเมือง.. ที่ทำงานผมเอง
และถ่ายทอดสดออกอากาศเป็นที่น่าชื่นใจ (มาก.. มากกกกกกก)..
ผมไม่ได้เข้าไปที่สนามบิน เพราะต้องทำงานอยู่ในห้อง
แต่การนั่งดูถ่ายทอดสดและได้ยินเสียงเครื่องบินในทีวีดังมาจากหน้าต่างห้องนี่
ก็ถือเป็นความสะใจ (+ชีช้ำหน่อยๆ ) ส่วนตัวของผมเองเหมือนกันว่ะ

เนื่องจากผมทำงานอยู่กับ "นาย" ที่เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมในพิธี (ยืนอยู่หลังเหลี่ยม)
ดังนั้นสิ่งที่ทีวีได้ถ่ายทอดสดเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว (และพรุ่งนี้ก็คงออก นสพ.)
ก็จะเป็นสิ่งที่ผมต้องก้มหน้ายอมรับ และยิ้มมมม เพื่อแสดงให้เห็นว่า
ผมไม่ได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับนโยบายน่ารักๆ นี้แต่อย่างใด
(ขืนไปด่าเขาเข้าในห้องผมก็ได้ติดคุกอะดิ ..คุกทหารนะเว้ย คุกทหาร)

เอ้า ไหนๆ จะไม่ด่าแล้ว
ขอยกเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าร้ากกก เกี่ยวกะโครงการพับนกมาเล่าให้อ่าน
ด้วยความที่ถือว่าเป็นคนที่ติดตามไอ้อะไร ..เอ๊ย! นโยบายน่ารักๆ นี้มานาน



เขานับจำนวนนกกันยังไง :
หลายวันก่อนหนังสือพิมพ์กระซิบบอกผมว่า
บริษัทไปรษณีย์ไทยขนนกมาให้กองทัพอากาศตั้ง 3,741,997 ตัว
(ตัวเลขสมมติครับ แต่ราวๆ นี้ และมันแสดงจำนวนออกมาเป็นเลขเป๊ะๆ งี้ด้วย)
โดยเป็นยอดนกที่ส่งมาจากประชาชนที่พับแล้วหยอดลงตู้ไปรษณีย์ (ชอบไอเดียนี้มาก)
และจำนวนที่ตรงเผงนั่น ทำให้ผมตกใจ ถามหนังสือพิมพ์ว่า
แอน : เฮ้ย มึงมั่วเปล่าวะ ไปเอาตัวเลขนี้มาจากไหน
หนังสือพิมพ์ : จะบ้าเหรอ กูไม่ได้มั่ว .. แหล่งข่าวเขาบอกมางี้จริงๆ
แอน : แล้วเขานับจำนวนมาได้ไงเท่านี้วะ
หนังสือพิมพ์ : .......... (ทำหน้าครุ่นคิด)
แอน : จะบ้าเหรอ กูอ่านหน้า 19 อยู่ มึงเสือกพลิกไปหน้าครุ่นคิด
หนังสือพิมพ์ : (หัวเราะ) เออ มึงนี่ท่าทางจะเป็นคนที่พยายามตลกนะ
แอน : (ตอบทันที) กูว่ากูรำคาญไอ้วงเล็บแสดงอารมณ์ตรงข้างต้นบรรทัดนี่ว่ะ
หนังสือพิมพ์ : มึงก็อย่านอกเรื่องสิ
แอน : เออว่ะ ไม่งั้นวันนี้สงสัยบล็อกยาวเฟื้อยตามเคย
หนังสือพิมพ์ : (หัวเราะ)
แต่ที่แน่ๆ วันนี้พิธีกรเขาบอกตอนถ่ายทอดสดว่า
เขามีการนับโดยการกะปริมาณเอา โดยเหมาเอาว่าแต่ละตัวจะพับจากกระดาษ A4
ทั้งนี้ ในหนึ่งถึงจะจุนกได้ราวๆ 5000-10000 ตัว



แล้วตกลงว่ายอดรวมของนกกระดาษมีเท่าไหร่แล้ว :
และวันนี้ ทักษิณบอกว่า จำนวนนกทั้งหมดในวันนี้เกินเป้าไปมาก
(มีนักข่าวรอยเตอร์ถามพิธีกรว่า เฮ้ ..ยูแจ้งกินเนสส์บุ้คไว้รึยัง)
ยอดรวมๆ ได้กว่า 120 ล้านตัวแล้ว และยังมีทยอยส่งมาเรื่อยๆ
โอ้ว... นี่ยังไม่รวมที่ใส่ถุงขยะบ้าง ถุงใสบ้างอีกเพียบ (คงหลายแสน) เลยนะ
ที่กองๆ อยู่ริมถนนฝั่งหน้าพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศน่ะ
แถมยังมีแบบที่ (โดนครูบังคับให้) พับ แล้วไม่ได้เอามาส่งให้รัฐบาลอีกตั้งเท่าไหร่
สุดยอดจริงๆ ประเทศไทย
โห.. สุดยอดจริงๆ ท่านผู้นำ
ท่านเจ๋งอย่างนี้ ได้เป็นผู้นำอีกแปดสมัยแน่ๆ (..กรอดดดด)



เขาขนนกกระดาษไปยังไง :
เครื่องบิน C-130 ซึ่งเป็นเครื่องที่อ้วนกลมใหญ่มากของกองทัพอากาศ
สามารถขนไปได้เที่ยวละ 3 ล้านตัว
นอกนั้นก็มีเครื่องบินลำย่อมๆ ลงมาหน่อย ได้เที่ยวละล้านบ้าง สองแสนบ้าง
แจ๋วมากครับท่านผู้นำ เราจะได้เห็นเครื่องบินบินกันถึง 48 เที่ยว
และยังมีการขนไปทางรถอีกหลายต่อหลายเที่ยวจนหมด
ช่างประหยัดพลังงานช่วยชาติได้มากจริงๆ เลย
เข้ากับช่วงที่ราคาน้ำมันลดราคา 40 สตางค์ตอน 6 โมงเช้าของพรุ่งนี้พอดี *-*



นี่เขาโปรยกันยังไง แล้วไม่รกเหรอ :
นกทุกตัวจะถูกส่งไปพักยังกองบิน 56 จังหวัดสงขลา
แล้วค่อยส่งต่อไปยังพื้นที่เป้าหมายสามจังหวัด แล้วจึงค่อยโปรยปรายให้กระจายเต็มฟ้า
**หลายคนสงสัยว่า กูรู้แล้ว มึงจะเล่าทำไม
**ผมขอเล่าหน่อยเหอะ อยากให้คนไทยในต่างแดนที่ตกขาว เอ๊ย.. ตกข่าวได้รู้บ้าง
ผู้ว่าจังหวัดแห่งหนึ่ง ชื่อย่อว่า นราธิวาส ได้บอกผ่านสื่อไว้ว่า
วิธีการเก็บนกกระดาษให้เรียบเมืองก็คือ
ประกาศว่า ผู้ที่เก็บนกกระดาษได้ 10 ตัว สามารถแลกไข่ไก่ได้ 1 ฟอง
แล้วถ้าเก็บได้มากๆ เข้า ก็สามารถแลกอะไรที่จ๊าบกว่าไข่อีกด้วยนะ
นอกจากกระดาษจะขาดตลาดเพราะพวกเราจะมานั่งพับกันเองเพื่อไปแลกไข่แล้ว
เงินรัฐบาลที่ต้องเอามาจ่ายค่าไข่อีกหลายสิบหลายร้อยล้านด้วยล่ะ
โอว... ช่างวเป็นวิธีที่ฉลาดแยบยลล้ำลึกสุดยอด
สร้างปัญหา แล้วหาวิธีแก้ปัญหาที่สร้างปัญหา แล้วหาวิธีที่ ---- (อ่านซ้ำๆ)
..แจ๋วครับท่าน ผมชื่นชมท่านจากใจ


ผมละทึ่งกับผลงานโค้งสุดท้ายของผู้นำท่านนี้จริงๆ
แต่จะว่าก็ว่าเหอะ
เคยมีคนบ้ายื่นกิ่งไม้ให้คุณไหม ถ้าเขาคิดว่านั่นคือดอกไม้ที่สวยที่สุดในโลกแล้วละก็
คุณก็จงยิ้มให้สวยที่สุดในโลกเช่นกัน และรับกิ่งไม้นั้นมาดม *-*
เท่านี้ เราก็จะอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขแล้วครับ



ป.ล.ผมไม่ได้เป็นโจรพูโล และผมรักมุสลิมที่เป็นคนดีตามวิถีที่ควรจะเป็นทุกคน
ดังนั้นบล็อกนี้จะไม่มีการกล่าวพาดพิงเรื่องศาสนา
แบบไอ้พวกไร้วิจารณญาณตามเว็บบอร์ดทั่วๆ ไปโดยเด็ดขาด

ป.ล.ผมชอบผู้หญิงผิวสีน้ำผึ้งนะ ยิ่งหน้าตาแขกๆ คลุมผมด้วยล่ะยิ่งชอบ
รู้สึกว่าใต้แววตานั้นมันมีเสน่ห์อย่างประหลาด (แต่เสียใจด้วย มีแฟนแล้วโว้ย)

ป.ล.เห็นไหม!!
ผมเขียนบล็อกวันนี้ไม่ได้ด่าอะไรเลย.. (ไม่ได้ด่าเลยยยยยนะกู)
เพียงแต่เอาเกร็ดมาเล่าให้คุณฟังให้คันมือยิบๆ
อยากพิมพ์ตอบแบบด่าๆ
ตามประสาบล็อกหยาบควยเท่านั้นเอง


ป.ล. ขอสารภาพว่า จนถึงตอนนี้ผมยังพับนกไม่เป็นเลยว่ะ

ป.ล. ผมด่าเรื่องนกกระดาษ เลยได้ย้ายมาทำงานที่ที่มีนกกระดาษ
อ้าว ถ้างั้นบล็อกอันที่แล้ว ผม ด..ด่าเรื่อง ... วีซีดีโป๊....
งั้น...เอ่อ.. *-*

ป.ล. ปอลอเหี้ยไรมึงวะเยอะแยะ (อ๊ะ ..ด่าแล้วไง)

วันพุธ, ธันวาคม 01, 2547

026 | วีซีดีฉาว


// บล็อกวันนี้มีคำหยาบควยจำนวนมาก ไม่เหมาะเลยสำหรับคนแคบๆ
// และขอแนะนำว่า ..ผู้ปกครองควรอยู่ในความดูแลของบุตรหลาน


ไอ้ห่า ว่าจะไม่เขียนบล็อกตามกระแสข่าวแล้วนะ
แต่เห็นข่าวแบบนี้โผล่มาในหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยเกินไป
จนทำให้รู้สึกว่าจะต้องมีอีกกี่คนนะ
ที่ได้รับประโยชน์เป็นกอบเป็นกำจากข่าวเหี้ยนี่
และจะมีอีกกี่คนนะ ที่ต้อง..ตาย เพราะข่าวจัญไรนี่

ราวๆ สองสามปีก่อน มีวีซีดีชื่อ "แอบถ่ายสวนหิน" จากเมืองกาญจน์
ข่าวโดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ลงภาพและเนื้อข่าวไว้อย่างถึงพริกถึงขิง
ผมขอกล่าวชื่อ เพราะเป็นเรื่องจริง ไม่ได้กุเอง (ถ้าจะฟ้อง ผมก็ยอม ..อ้าว)
ผมนั่งอ่านตอนกินข้าว ยอมรับว่า เอ้อ.. ควยลุกเลยครับ
นักเรียนสาวเข้าป่าไปเย็ดกะแฟนหนุ่มในป่า (สวยมาก และลีลาดีด้วย)
ไอ้ตากล้องก็ดันไปแอบถ่ายเข้า แล้วเอาไปขาย และก็โดนจับได้ในไม่นาน

เรื่องไม่ได้จบแค่นั้นครับ
เพราะข่าวที่ผมนั่งอ่าน (และควยลุก) ในวันนั้นเอง
มันทำให้น้องผู้หญิงคนนั้นต้องตกเป็นเหยื่อสังคมเข้าเต็มๆ
เพราะวีซีดีแผ่นที่ว่า มีขายเกลื่อนและขายดีสุดๆ (เติมไม้ยมกอีก 8 ตัว)
จนกลายเป็น Talk of the town และแผงซีดีโป๊ทั่วไทยก็จะมีพาดหัวข่าวลงปก
ทีนี้พอมีหนังโป๊ฉาวๆ ประเภทแอบถ่าย หรือถ่ายกันเองแล้วหลุดมาตามสื่อ
ก็จะกลายเป็นว่า ตัวหนังสือพิมพ์เองที่เสือกลงพาดหัวไว้ล่อคนอ่านนั้น
ดันกลายเป็นมีดทิ่มแทงเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ให้จมไปในตราบาป
ทั้งที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะก่อ (หรือแม้ตั้งใจ แต่ก็ไม่ได้จะให้มึงช่วยก่อ)
อีกไม่ถึงเดือนต่อมา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐเช่นกัน
ก็ลงข่าวว่า น้องคนนั้นฆ่าตัวตายแล้วครับ!!!

น้องคนนี้ไม่ได้เป็นรายแรกที่ฆ่าตัวตายเพราะโดนหนังสือพิมพ์กัด
มันมีคดีตัวอย่างตั้งหลายคดีที่เกิดขึ้นในทำนองเดียวกันนี้
และก็จบลงด้วยความตายของฝ่ายหญิงเช่นเดียวกันนี้
(เท่าที่เพื่อนเล่าและอ่านเจอ ผมนับได้มากกว่าสามคดีแล้วล่ะ)
นอกจากน้องแนทที่แจ้งเกิดได้ด้วยตัวเองจากการพลิกวิกฤติเป็นวิกฤติ
ผมยังไม่เห็นใครเลยสักคนที่หันมาเอาดีด้านการขายนาขายนมอย่างแนท
อย่าเลยครับสาวเอย ประเทศไทยยังรับไม่ได้กับ "ดาราเอวี" อย่างญี่ปุ่นเขา
อย่าเลยครับ


หมายเหตุ: ผมขี้เกียจบอกว่าใครจะได้ผลประโยชน์จากข่าวฉาวเนี่ย
หวังว่าคุณที่อ่านๆ มาก็คงจะรู้แล้วว่าผมหมายถึงใคร ..ไม่ต้องบอกแล้นนะ



ผมเป็นคนหนึ่งที่ดูหนังโป๊ในรูปวีซีดีมาตั้งแต่อยู่ ม.1 แล้ว
ตามประสาเด็กผู้ชายวัยเห่อหมอย (อ๊ะ หยาบคายจัง)
ในวันนั้น (สิบปีมาแล้ว) สื่อบันทึกในรูปวีซีดียังไม่ฮิตอย่างวันนี้
เพราะเครื่องเล่นก็ราคาแพ้งแพง ใครจะเล่นต้องเปิดใน Windows 3.1
แถมดูภาพก็กระตุกกึกๆๆๆ (แต่มุงดูกะเพื่อนเป็นสิบๆ เลยไม่บ่น)
ถ้านับจากวันนั้นมาจนวันนี้ ผมก็ล่อไป เอ๊ย..ดูไปกว่า 300 แผ่นแล้วว่ะ
ส่วนใหญ่ 95% จะเป็นของเพื่อน .. อีก 5% จะไรท์ของเพื่อน (ฮา)
ไหนจะคลิปที่โหลดมาจากเน็ต ไหนจะรูปโป๊ในเครื่องอีกเป็นหมื่นๆ

พ่อ..ถ้าพ่อมาอ่านบล็อกนี้อยู่ก็อย่าบอกแม่นะ
(55 ล้อเล่น ..บอกไปเหอะ แอนโตพอที่จะไม่ต้องปิดเรื่องแบบนี้แล้ว)

แต่ผมไม่ได้บ้ากามนะ ไปถามใครหน้าไหนก็ได้ที่เป็นผู้ชาย 100%
รับรองมันก็ดูกันแบบนี้แหละ (ยิ่งมีเพื่อนดีตั้งแต่เล็กแต่น้อยแบบผมนะ)
เพียงแต่เขาไม่กล้าบอกความจริงกะคุณเท่านั้นแหละ
ปัจจุบันนี้ผมเลิกดูวีซีดีอย่างว่าแล้วครับ -- ผมสาบานได้
ยกเว้นว่าวันไหนเพื่อนฝูงมันเอาไอ้แผ่นที่กำลังเป็นข่าวมาประเคนให้
ผมก็ต้องดูซะหน่อย ไม่งั้นตกยุคตายห่า (อีแนทนี่ดูครบทุกภาคแล้ว)
ยอมรับว่า ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ช่วยกับไอ้เหี้ยทั่วประเทศ
ที่ช่วยกันประสานมือจับด้ามมีดไปฆ่าน้องคนที่ต้องตกเป็นเป้าสังคมนั่น
ผมขอโทษ ..ผมขอโทษจากใจจริง
ผมเเสียใจจนต้องเขียนบล็อกวันนี้ขึ้นมาไง (ไหนว่าเป็นทหารแล้วไม่ว่างไง)

อยากจะบอกว่า
ไอ้มาตรการอะไรๆ ที่โรงเรียนหรือรัฐบาลพยายามเข็นออกมา
เพื่อจะปราบปรามไอ้สื่อลามกอนาจารให้หมดไปนั้น
มันไม่มีทางได้ผลกับเยาวชนไทยหรอกครับ
และขอรับรองว่าจะอีกกี่ปีมันก็ไร้ผล
ถึงแม้จะเพิ่งกวาดล้างไปเป็นล้านๆ แผ่นที่หน้าทำเนียบเมื่อเร็วๆ นี้
(ห่า อะไรก็ไปสุมอยู่ที่ทำเนียบ ..เท่ากับหน่วยงานอื่นของไทยแม่ง***หมดเลยสิ)
ทำไมรู้ไหมถึงปราบปรามสิ่งลามกอนาจารนั่นไม่ได้ผล
ก็เพราะว่าสื่อต่างๆ ของไทยมันยังเหี้ยอยู่ยังงี้ไงครับ
ไม่เชื่อเหรอ เปิดทีวีดู "ตีฉิบ" (ไม่ได้ว่าใครนะ) หรือละครหลังข่าวบางเรื่อง
(ไม่ได้เหมาว่าทุกเรื่องนะ.. ผมเคารพผู้จัดบางท่านที่มีจรรยาบรรณ)
ไม่ต้องใช้วิจารณญาณกันให้มากมายก็รู้ว่า
หลายครั้งหลายคราที่ผู้จัดผู้เกี่ยวข้องในสื่อโทรทัศน์นั้น
มันช่างเอาเซ็กส์มาขายพ่วงเพื่อดึงดูดผู้ชมหน้าเงี่ยนได้อย่างแนบเนียน
และถ้ามีเวลาละก็ จงเดินออกไปที่แผงหนังสือปากซอย
หยิบหนังสือพิมพ์หัวสี (ที่เรียกงี้เพราะหัวมันเป็นสี) ดูข่าวพาดหัว
อาชญากรรม ไอ้นั่นข่มขืนอีนี่ เล่าวิธีการละเอียดยิบ
ยิบกระทั่งว่าผู้อ่านสามารถอ่านไปชักว่าวตามได้สบายเลย
เอ้า คราวนี้พลิกมาดูหน้าบันเทิง ..น่านล่ะ ใช่แล้ว
หรือไม่ ถ้าขี้เกียจหาหน้าบันเทิง ก็ให้หยิบหนังสือพิมพ์บันเทิงเลย
ฉบับไหนไม่มีข่าวไอ้เหี้ยนี่จูบจริง หรืออีดอกนั่นนมหก ฯลฯ ละก็
ผมให้จูบเลยเอ้า!

ป.ล.รู้สึกไงที่ผมใช้คำหยาบตรงๆ (แต่มีเจตนาดี) ในสื่อที่คุณสัมผัสอยู่นี่
เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับไอ้พวกที่ "แต่งตัว" เสียสละสลวย
แต่เสือกมอมเมาเราด้วยเซ็กส์ที่แฝงมากับความสละสลวยควยถอกนั่น
คุณว่าอะไรกันแน่..ที่เหี้ยบัดซบ