วันจันทร์, มกราคม 24, 2548

038 | จบบริบูรณ์


ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านมาตลอดครับ (คุยกันในคอมเมนต์นะ)

วันเสาร์, มกราคม 22, 2548

037 | หนอย หนอน


ไอ้เหี้ยเอ๊ย
กูต้องมาต่อสู้กะพวกไวรัส หนอน หรือสัดหมาเหี้ยนี่ไปอีกนานแค่ไหนวะ
แม่งมาพร้อมกันทีเดียวสามเครื่อง จาก 15 เครื่องที่ให้ลูกค้าเล่นได้ตอนนี้เลยเหลือแค่ 12
นี่ลองใช้ทุกโปรแกรมที่เอาไว้กำจัดสปายแวร์ดูแล้ว
ก็ยังอาการเหมือนเดิม คือต่อแลนได้ปกติ แต่เสือกต่อเน็ตไม่ได้

ไอ้ห่า ..เป็นคอมร้านเน็ตแล้วเสือกต่อเน็ตไม่ได้ มึงจะเกิดมาเป็นตู้ปลาหรือไงวะ


ไอ้โปรแกรมกำจัดไวรัสฟรีที่ชื่อ Kalpersky ที่ก็เสือกทำเหี้ยอะไรไม่ได้เลย
กูลงมึงไว้หนักเครื่อง แดกฮาร์ดดิสก์และแดกแรม เพื่อให้มึงช่วยกูนะโว้ย
ไม่ใช่เพื่อมาบอกว่า ขอโทษ.. กูเจอไวรัสในเครื่องมึง
แต่กูจะนั่งกระดิกตีนดูอยู่งี้แหละ เสือกโง่โหลดกูมาใช้เองทำไมล่ะ
หรือมึงจะเอา.. หรือมึงจะเอา


ควยเถอะครับพี่


เกิดมาเสียชาติเกิดจริงๆ เลยไอ้สัดดอก!!!
เซ็งโว้ยยยยย
ผมเลยต้องไปเอา Norton 2004 ที่เก็บไว้ในกรุมาขอยืมสแกนพักนึงก่อน
นี่กำลังรอผลการตรวจอยู่ ถ้าเสือกไม่หายขึ้นมาอีก สงสัยวันนี้ผมไม่มีอารมณ์วาดการ์ตูนแน่ๆ
อุตส่าห์อดหลับอดนอนเขียนตอนล่าสุดส่งไป กะว่าตลกชิบหาย
บอกอเสือก เอ๊ย... (ลืมไป ตานั่นมันอ่านบล็อกผมด้วยนี่หว่า)
ท่านบอกอที่เคารพรักอย่างสูง ท่านกลับขยำๆ ทิ้งแล้วโยนลงถังอย่างไร้เยื่อใย

โอว
แล้วกู เอ๊ย.. แล้วผมก็ต้องมาวาดใหม่ให้พี่อีกอะเด้~~~~~~
ช่างแม่งเว้ย ..งานสนุก แต่งตัวทาปากสวยๆ ตอนทำงานได้ยังงี้
ถึงจะโดน(กด)ขี่ ผมก็ยอม!


ป.ล.ขออภัยที่ไม่ได้อัพเดทบล็อกซะนาน พอดีติดงาน ..ไม่ได้นอกใจนะ
ป.อ.แต่ก็กะว่าวันนี้จะเขียนเรื่อง ..(ไม่บอก).. ซะหน่อย เสือกมาเจอไวรัสเหี้ยนั่น เลยหมดฟิว
ป.ฮ.ขี้เกียจออนเอ็มเอสเอ็นว่ะ แม่ง ทักเหี้ยอะไรผมกันนักวะ ไม่เห็นเหรอว่า Busy ..พ่องตาย

วันอังคาร, มกราคม 18, 2548

036 | เปิดตัว ฟ๐นต์ดอทคอม



วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2548 เวลา 19.09 น.
โลกจักต้องจารึกไว้ด้วยมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น 1 อย่าง
เปล่า –
ไม่ได้เกิดแผ่นดินไหวแรงที่สุดในโลกอีกครั้งหรอก
ไม่ได้มีสึนามิถล่มรอบสองหรอก
ไม่ได้มีโจญไร (โจร+จัญไร) มาก่อวินาศกรรมอีกรอบหรอก
ไม่ได้มีตึกถล่มอีกรอบ หรือรถไฟฟ้าชนกัน หรือนักการเมืองปฏิบัติการตอแหลครั้งใหญ่ในรอบสี่ปีหรอก
(ทำไมช่วงนี้มีแต่เรื่องฉิบหายทั้งนั้นเลยวะ ..ถึงว่าสิ ทักษิณเลยไข้แดก)

แต่ผมแค่จะบอกว่า
เว็บฟอนต์ใหม่เสร็จแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
(แฮ่ก แฮ่ก) ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

นั่นคือเว็บที่แตกยอดมาจากเว็บฟอนต์•ไอ้แอนนนนน ที่สร้างความแสบตาสัดดอกมาแล้ว
คลิกไปเลยครับ


www.f0nt.com


เยสสสส
เยสสสสสสสสสสส
เยสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส (พอแล้ว เยสมากฟ้าเหลือง)

เป้าหมายของเว็บที่ว่านี่คือ ต้องการสร้างวงการใหม่ขึ้นมาหนึ่งวงการ
(ไม่ขอแวะไปเรื่อง Typography หรืออะไรที่มันเป็นทางการนักนะครับ เดี๋ยวหลับ)
เอาแค่ว่า ผมอยากให้คนไทยได้สนุกกับการเล่นกับตัวอักษรในคอมพิวเตอร์
และได้รู้ว่า ทุกคนสามารถช่วยกันหมุนโลกได้ทั้งนั้น
ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าวันหนึ่งเราทุกคนจะสามารถมีลายมือตัวเอง
ไม่ว่าจะอยู่ในหนังสือ ในทีวี ในเว็บไซต์

แม่ง น่าสนุกอย่างหมาเลยโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย (พอ พอ)


หลายคนแล้วที่ถามผมว่า มึงจะทำเว็บเหี้ยนี่ไปทำไมวะ
ในเมื่อทำไปก็ไม่ได้ตังค์ (และก็ไม่ได้ดัง)
แถมยังจะต้องควักกระเป๋าแบนๆ ที่ได้จากอาชีพทหารกองประจำการ
ซึ่งแต่เดิมก็มีอยู่น้อยนิดจนต้องยืนน้ำลายยืดหน้าแนบเกาะกระจกรถเข็นขายหมูปิ้งอยู่แล้ว
มาจ่ายค่าโฮส ซึ่งเช่ามามึงก็ไม่ได้อะไรเลยนี่หว่า

ผมตบหัวไปทีนึง แล้วตอบว่า มึงก็คิดสิ ว่านี่คือการซื้อของเล่นอย่างนึง
ก็เหมือนกะที่มึงเอาตังค์ไปซื้อบัตรเติมเงินโทรศัพท์ที่กูว่ามันฟุ่มเฟือยสัดๆ
หรือไม่ก็เจียดตังค์ไปลงกับค่าเล่นเกมส์ออนไลน์ ซึ่งเกมส์เหี้ยนี่ดันเสือกแพงกว่าค่าโทรหำนั่นอีก

ก็ผมไม่ใช่คนติดโทรศัพท์ + เล่นเกมส์ไม่เป็น แถมเสือกแดกเหล้าไม่เป็นกะเขาอีก!
อบายมุขที่พอจะมอมเมาผมได้ก็คงมีแค่ไอ้คอมพิวเตอร์ที่บรรจุโลกไว้ข้างใน (ถุย) นี่แหละ
เอาวะ เงินแค่ปีละพันสองพันสามพันที่กูต้องจ่ายไปเป็นค่าเช่าของเล่นของกู
ดูท่าทางจะได้อะไรมากกว่าที่พวกมึงทำอยู่หรือเปล่าวะ.. ผมก็ไม่แน่ใจ
แต่ที่แน่ๆ ผมว่าผมทำไปแล้วแม่งมีความสุขว่ะ
คุณน่าจะเข้าใจว่าอารมณ์เหมือนกับที่ทุกๆ วัน เมื่อผมมาเปิดบล็อกหยาบคายหรือหยาบควยนี่
แล้วเห็นตัวเลขจำนวนคอมเมนต์เยอะๆ เป็นเหมือนเสียงตอบรับให้รู้ว่า
ไอ้เหี้ย.. มีคนเห็น มีคนรู้สึกได้ถึงในสิ่งที่กูทำลงไปด้วยว่ะ!!

รู้ไหมว่าสำหรับไอ้พวกบ้าทำเว็บแล้ว
มันมีค่ากว่าการได้หมวกหายากเหี้ยๆ ในเกมส์อีกนะครับ!!

ป.ล.ผมถามพี่ที่ร้านว่า จะเล่นเพื่อตี-ซื้อไอ้หมวกเหี้ยนั่นมาทำไมวะ
พี่แกตอบว่า เพื่อความเท่เท่านั้นแหละน้อง ไม่ได้มีอะไรหรอก
ผมย้อนกลับมาดูตัวเอง ..ไอ้ที่กูทำทุกวันนี้แม่งก็เพื่อความเท่นี่หว่า
….เท่แล้วไงวะ -_-‘

ป.อ.ผมก็ยังพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองจนได้ว่า
ไอ้เหี้ย.. เท่แล้วมันก็ต้องได้ประโยชน์กับคนอื่นด้วยสิมันถึงจะเท่จริง

ป.ฮ.คืนนี้เว็บเสร็จแล้ว ผมเริ่มทำงานแน่นอนครับท่านบอกอ
อู้มานาน เริ่มรู้สึกว่าไฟลนตูดจนขี้แข็งเป็นตะกรันแล่ววว *-*

วันจันทร์, มกราคม 10, 2548

035 | ถึงสวยก็ทำด้วยพลาสติก



แฟนผมชื่อโบว์ (ไม่ใช่คนในรูปแน่นอน ..ขอเอาหัวเป็นประกัน)
ผมคบกะมันมาสี่ห้าปีแล้ว (แต่เพิ่งพาไปให้คนที่บ้านรู้จักเมื่อปีกลายนี่เอง)
ดีว่ามันไม่ได้มาเที่ยวที่ร้านบ่อยๆ และดีที่มันไม่ค่อยชอบอ่านบล็อก
ผมจะได้แอบเอามานินทาสักหนึ่งย่อหน้า (กร๊าก)

ผมมานั่งมองหน้าแฟนตัวเองดีๆ มันก็ไม่สวยนี่หว่า
มันเป็นความอิจฉาหรือสันดานหมาอะไรของผมเองก็ไม่รู้ ที่มักจะเห็นแฟนคนอื่นสวยกว่าอยู่เสมอ
ยังงี้เข้ากับทฤษฎีมาม่าเพื่อนที่ผมตั้งไว้ตอนปีสอง ใจความว่า
"..เมื่อไปเซเว่นกับเพื่อนแล้วซื้อมาม่ารสเดียวกัน กินพร้อมกัน เรามักจะเห็นของเพื่อนน่ากินกว่าเสมอ.."

เท่าที่เห็น ความสวยของผู้หญิงวันนี้แม่งเหมือนกันหมดเลยว่ะ
ส่วนหนึ่งจากสไตล์ความสวยแบบมาตรฐานที่เราสามารถพบได้ทั่วไปในผู้หญิงวันนี้* ก็คือ
- ขาว หรือพยายามขาว
- หมวย หรือพยายามหมวย
- สวย หรือพยายามสวย
- เซ็กส์ หรือพยายาม.. พยาม..เอ่อ.. อ่า..

*ผมใช้คำว่า "วันนี้"
เพราะเทรนด์สมัยเรเนอซองต์ หรือยุคมิตร-เพชราน่าจะไม่ชอบผู้หญิงสไตล์แบบที่ว่าหรอก 555


เห็นแล้วคงไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ใช่ไหม
เพราะเราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าสามารถหาดูนางในอุดมคติเหล่านี้ได้ทั่วไป ไม่ว่าจะที่สยาม ที่สวน หรือที่สวนสยาม
เรียกได้ว่ามันมี "วิธี" สำเร็จรูปที่สามารถเปลี่ยนสภาพความงามของคุณจาก "อีเล้งท้ายเหมือง"
กลายเป็นน้อง "หมวยจ๋า(ร้อนเงินเหรอจ๊ะ)" ได้ไม่ยากตามสถาบันความงามต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกทอง เอ๊ยเห็ด
คอร์สฟิตเนส ร้านเสื้อผ้า ร้านเสริมสวย ร้านทำผม ทำเล็บ ทำผิว ทำเหี้ยอะไรล้นเมืองไปหมด
ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เพื่อสนองตัณหาทางด้านความงามของมนุษย์เพศเมียบางกลุ่มที่มีกำลังทรัพย์พอที่จะแลกเพื่อรูปลักษณ์ที่ดีกว่า
ที่ดูไปดูมาก็กลายเป็นว่า ไอ้ความงามกึ่งสำเร็จรูปนี้ มันเหมือนก็อปปี้สไตล์เดียวกันนี้ออกมาเลยว่ะ

นั่นก็คือ ผมตรงแหนว (ผมว่ามันตรงเกินไป เข้าใจไหม ..มนุษย์ไม่ควรจะผมตรงขนาดนั้นโว้ย)
หุ่นทรงกระดาน (ตูดน่ะเอาไว้รองนั่ง เอาไว้คลอด และเอาไว้ขี้ ขยันลดกันจนแบนแป๋แต๋แล้วจะเหลืออะไรให้จับวะ)
หน้าตาขาวว่อก ..ทั้งๆ ที่พื้นเพเดิมเป็นคนบ้านเดียวกะน้องแคะ (ในหนังเรื่องแจ๋ว ..โคตรชอบ)
แล้วก็อะไรไม่รู้ขี้เกียจพิมพ์ ช่างแม่ง ยกตัวอย่างมากเดี๋ยวยาวเกิน (วันนี้ว่าจะเขียน ป.ล. ยาวๆ)

ผมไม่ได้บอกว่าไอ้สรรพคุณที่ว่ามาน่ะมันไม่ดีนะ
ผู้ชายปกติที่ไหนมั่งจะไม่ชอบสาวที่ขาวสวยหมาวยเซ็กส์อย่างที่ว่า ยกเว้นไอ้พวกปากอย่างเจี๊ยวอย่างเท่านั้นแหละ
แต่ผมทึ่งตรงที่ว่า อะไรหนอที่ทำให้เกิดการค้นพบสูตรนี้ที่เป็นสูตรสวยสำเร็จรูปขึ้นมาได้วะ
ไม่รู้ว่ามันกลั่นกรองเทคนิควิธีนี้ขึ้นมาจนตกผลึกเป็น "วิธีสวย" ขึ้นมาได้ยังไง
ถ้าจะบอกแบบวิชาการก็คือ มันเป็นช่วงที่เทรนด์หมวยกำลังแรง
(แต่ใครจะไปรู้ว่า อีกสิบปีต่อมาพอคนไทยเบื่อหมวย ก็จะหันไปชอบสาวซิมบั๊บเว่แทน.. โอ้ววว)

สาวเอย..
พวกเธอจะรู้ไหมว่า การพยายามสวยให้เป็นแบบมาตรฐานจนเกินไปน่ะ
มันทำให้ความหลากหลายทางพันธุกรรมความงามถูกริดรอนออกไปจนเหลือแค่แนวเดียว
เหมือนกับเวลาไปดูหนังแล้วเจอแต่หนังผี หนังผี แล้วเหี้ยที่ไหนจะไปนั่งถ่างกะเจี๊ยวดูแม่งวะ ..กูถามจริงๆ

เคยมานั่งสังเกตดูก็พบว่าไอ้ความสวยเช้งหน้าเด้งผมเหยียดน่าเบียดนักนั่น
จริงๆ แล้วแม่งเป็นแค่เปลือกทั้งนั้นเลยว่ะ ..ห่า
คือถ้าไปเผลอแต่งงานไปกะหล่อนแล้วมีลูกออกมา
พยาบาลคงจำไม่ได้แน่ๆ ว่าใครวะที่คลอดอีเด็กนี่ออกมาทำไมมันดำยังกะถ่าน ทั้งๆ ที่แม่หน้าขาวยังกะไมเคิลแจ๊กสัน
(ที่ปัจจุบันนี้หน้าขาวยิ่งกว่าถุงเท้าเรืองแสงในโฆษณาผงซักฟอก)
อ้อ..ถ้าไอ้แจ็คสั้นมันเกิดไปตุ๋ยเด็กจนออกลูกมา (??) ยังไง้ด้วยพันธุกรรม ..ลูกมันก็ต้องดำครับ!

แล้ว..ถ้ายังงั้น
อะไรคือสวยล่ะ?

จากเว็บ campaignforrealbeauty.com ที่ลงมติชนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ผมไปสะดุดเข้ากับแคมเปญโฆษณาชุดนึงของ Dove
ที่จับเอาคุณทวดไอรีน ซินแคลร์ (แกอายุ 94 ปีแล้ว) มาเป็นนางแบบของผลิตภัณฑ์!!!!!!!!!!!!!
นอกจากนี้ยังมีสาวแก่แม่หม้ายที่หน้าตาธรรมดาๆ เหมือนแม่บ้านจ่ายตลาดตอนเย็นๆ นี่แหละมาเป็นนางแบบด้วย
มีทั้งแบบตัวดำ นมล้น อ้วนฉุ และหน้าเขมร
เพราะแคมเปญนี้เขาเล่นเรื่อง The Real Beauty ครับ
เห็นแล้วแม่งเอ๊ย .. ผมก็เคยคิดเหมือนกันนะ
ว่าทำไมว้า สบู่เอย ครีมเอย แชมพูเอย พอใช้แล้วจะต้องสวยเซ็กซี่ยังกะนางแบบที่โฆษณาด้วยวะ
ทั้งๆ ที่ในชีวิตจริงนั้นมีด้วยเหรอที่ใช้ซันซิลสูตรประคำดีควายแล้วผมเงาว่องยังกะอบมาสักเจ็ดครั้ง
เก๊าะมันไม่มีไง!!
แคมเป็ยนี้เลยจับหญิงสาวน้อยสาวใหญ่มาบำรุงด้วย Dove แล้วเอารูปมาขึ้นในเว็บให้คนดูโหวตกัน
ปรากฏว่ายังกะรายการสรยุทธ์เลยครับ ใครๆ ก็ต่างโหวตว่านางแบบพวกนี้สวยกันล้นบ้านล้นเมือง
ทั้งๆ ที่ดูยังไงก็เป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ใช่ใช้สบู่แล้วแปลงร่างเป็นหมิวได้จริงซะหน่อย
โอว จ๊าบมาก
จ๊าบๆ จ๊าบๆ
ผมเลยโหวตให้ป้าและคุณทวดคนละโหวต

เอาละ สุดท้ายนี้ผมเข้าใจครับว่าผู้หญิงกับการดูแลความงามนั่นเป็นของคู่กัน
เหมือนโฆษณาอะไรของแอมเวย์มั้ง ที่ผู้หญิงแม่งแต่งสวยตั้งนานแล้วผู้ชายไม่เข้าใจ
แต่พอแต่งหน้าเสร็จไปออกงานด้วยกัน ผู้ชายเลยเดินจับมือแน่น (ควยแข็งปั๋ง?)
แสดงว่าที่หล่อนๆ แต่งมานี่..ก็เพื่อการผสมพันธุ์ทั้งนั้นแหละครับ

ว่าจะอ้างทฤษฎีของซิกมันต์ ฟรอยด์ แต่เสือกอ้างทฤษฎีมาม่าเพื่อนมาตัดหน้าไว้ก่อนแล้ว (..ชิ)
และที่สำคัญคือผมไม่เคยตั้งใจอ่านบทวิเคราะห์เชิงจิตวิทยาของมันจบเลย
เพราะมัวดูแต่หน้าที่มีรูปโป๊ -_-'

แต่ก็เอาเหอะ
ไงๆ ผมเห็นแฟนตัวเองหน้าตาแหวกแนวออกมาจากตำราพิชัยสงครามที่สถาบันเสริมความงามทุกวันนี้เขาใช้กันทั่วไป
ผมก็สบายใจแล้ว ..เพราะไม่แน่ถ้าวันนึงเกิดมีกระแสความงามแบบนี้ออกมา
ผมจะได้ควงแฟนตัวเองยืดให้ชาวบ้านมองตามซะงั้น.. กร๊ากกกก


ป.ล.วันนี้มึงเขียนบล็อกได้สุภาพจังเลยแอน ไหนว่ามึงหยาบคายนักหนาไง
เอาสิ มึงเมนต์มายังงี้สิ
เรื่องไรกู เอ๊ย..ผม ต้องตามใจคุณวะ
แม่งเอ๊ย.. พอกูเขียนไร้สาระ มึงก็บ่น
พอกูมีอารมณ์จะสาระ แม่งก็บอกอีห่า.. เครียดสัดหมา
ที่กูมาอ่านบล็อกมึงนี่กูอยากพักผ่อน ไม่ใช่จะมาฟังเทศน์
ควยเถอะครับไอ้พวกมนุษย์ขี้เหม็นทุกท่าน!!
มาอ่านบล็อกเขาแล้วเสือกเรื่องมากกันอีก ไปอ่านเว็บกระปุกนู่นไป๊

ผมบอกตั้งหลายทีแล้วว่าผมเขียนบล็อกขึ้นมาให้คุณอ่านเพื่อให้รู้ว่าผมคิดอะไรยังไง
ไอ้ความหยาบคายที่จั่วหัวไว้นั่นมันก็แค่การมีท็อปปิ้งทางภาษาด้วยคำว่า ควย หี เย็ด เหี้ย อะไรงี้โผล่มาเท่านั้น
ซึ่งผมก็ไม่ได้พยายามจะผลักดันให้รู้สึกว่าหยาบไปเพื่อความ "แนว" หรือ "อินดี้" ห่าอะไรนั่น
แต่แค่ผมรู้สึกว่า ระเบียบและมารยาททางภาษา มันควรเป็นขนบธรรมเนียมที่ใช้กับสื่อที่เปิดกว้างเกินไป
อย่างพวกสื่อทีวี วิทยุ หรือหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีผู้รับสารจำนวนมาก ซึ่งอาจจะไม่มีวิจารณญาณพอ
สื่ออินเทอร์เน็ตด้วยล่ะ (ในเว็บที่รวมห่าเหวอะไรให้คนเข้าเยอะๆ เพื่อเอาตังค์จากโฆษณา อย่างเว็บกระปุ...อ๊ะ แขวะอีกละ)

แต่บล็อกหยาบคายนี่ไม่ใช่..
ผมรู้ว่า "ตลาด" เป้าหมายของบล็อกนี้ คือคนที่ทนอ่านข้อความยาวๆ น่าเบื่อๆ จนจบ
ซึ่งแน่นอนว่าจำนวนคนที่ว่านี่จะถูกกรองคุณภาพมาแล้ว (นึกภาพอวนที่ตาห่างๆ และจับปลาที่สมองอ้วนๆ หน่อย)
ซึ่งถ้าปีนึงคุณอ่านหนังสือเกิน 7 บรรทัด (มาตรฐานประเทศไทย)
และรู้จักเอาหัวไว้ทำอย่างอื่นนอกจากไว้กั้นหูสองข้างชนกันละก็
คุณจะรู้ว่าบล็อกผม (ใช่สิ บ้านกู กูจะบ่นอะไรก็ได้) มันหยาบคายแค่ตัวอักษรเท่านั้น
แต่เจตนานั้นบริสุทธิ์เยี่ยงทารกใช้น้ำมันทาผิวเด็กซึ่งไฮโปอัลเลอจินิกมากๆ

ลองพิเคราะห์เจตนาของผมในการเขียนแต่ละครั้งสิครับ
เอากระดาษมาลิสต์ดูเลยก็ได้ ว่าบล็อก 30 กว่าชิ้นที่ผ่านมานี้
ผมตั้งใจจะบอกอะไรคุณบ้าง!

..ถ้าอยากอ่านไอ้แบบหยาบๆ สิ้นชาติๆ นั่น ก็เชิญไปอ่านอีซ้อเจ็ดห่านั่นไป๊!!
(ใครอ่านมานานจะรู้ว่าการโดนผมด่านี่โคตรเป็นมงคลเลย ดังนั้นอย่าเสือกโกรธ)
แม่ง..ไอ้--(ยังมันส์มืออยู่ อูยยยยย ..ได้ด่าแล้วสะใจ)

ป.อ.ผมสงสัยว่าทำไมการประกวดนางงาม (ที่หลังเวทีเต็มไปด้วยอิทธิพลและธุรกิจเกี่ยวกะเซ็กส์)
ถึงเอาคำถามตัดชือกเพื่อทดสอบสมองว่า 1 ใน 3 คนสุดท้ายใครฉลาดที่สุด
คือถ้าคุณจะบอก (หรืออ้าง?) ว่าคุณให้ความสำคัญกับสมองมากกว่าหน้าตาละก็
ทำไมถึงไม่กรองอีพวกกากๆ โง่ๆ ออกไปก่อนเล๊า.. ปล่อยให้มันมายืนอึ้งแดกตอนถามคำถามรอบชิงทำไม
ยังงี้แสดงว่าคนที่ได้ที่ 1 อาจจะไม่สวยที่สุดก็ได้นะสิ ..และคนที่ฉลาดที่สุดก็เสือกตกรอบแรกไปแล้วเอย

ป.ฮ.โอ๊ะ ..ตัวนับของบล็อกหยาบคายวันนี้ทะลุหลักสองหมื่นแล้ว ..Congratulations!!
เฮียปราบดาหนุ่ยยังทำแบบผมไม่ได้เลยนะนี่ เขียนหนังสือไปด่าคนและให้คนด่าไปพร้อมๆ กัน 55

ป.ฮ.สุดท้ายจริงๆ แล้ว
อยากรู้จริงๆ ว่าคนสวยนี่ขี้ไม่เป็นเหรอ หรือเปลี่ยนขี้เป็นพลังงานหมด
ใครช่วยตอบหน่อยว่า เวลาจำเป็นต้องตดกลางสาธารณะเนี่ย สาวๆ เขาทำยังไงกัน?

วันพฤหัสบดี, มกราคม 06, 2548

034 | บุญ/คุณ




1.
ผมไปอ่านบล็อกของป้าปิ๊ก (คลิกสิ..หลั่งน้ำตากันหน่อย)
ก็ทำให้นึกขึ้นได้ว่าเคยคุยกับป้าแกผ่าน MSN ในเรื่องธรรมะธรรมโมมาครั้งนึง
ไม่ได้ออกแนวศาสนาแมนอะไรหรอกครับ ผมมันก็ไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวาอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าในเหตุการณ์เย็ดครกที่ผ่านมา (ภาษาทางการเรียกว่า ธรณีพิบัติภัย ..ชิ)
มันทำให้ผมยินดีและเต็มใจจะทำบุญมากขึ้น
(หยุดกลับบ้านปีใหม่นี่ผมแอบแว้บไปทำบุญมาด้วยล่ะ ..เท่สัดหมา)


2.
ขอบอกจากใจจริงว่าที่ทำบุญน่ะ ผมไม่ได้อยากให้ตัวเองได้ขึ้นสวรรค์หรือนิพพานอะไรนั่นหรอกครับ
แต่มันเป็นความจริงใจในฐานะ “คน” ด้วยกัน (ภาษาทางการเรียกว่า เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ..ชิ)
ไม่รู้สิ ผมว่ามันเป็นสัญชาตญาณของเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตทั้งโลก
ที่พยายามจะปกป้องช่วยเหลือพวกพ้อง (โดยไม่ต้องยืนถือป้ายบริษัทแล้วถ่ายรูปออกทีวี ..ชิ)
ทั้งนี้ ผมเป็นคนไม่เชื่อเรื่องบุญกรรมแต่อย่างใด
ดังนั้นไอ้เรื่องการทำบุญหวังผลแม้เพียงผลบุญบารมีที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองนั้น
จึงเป็นเหตุผลที่แม่งจูงใจให้คนทำดีโดยไม่ได้ดีจากสันดาน
เพียงแต่เหมือนทำดีให้ครู (พระเจ้า? - นรกสวรรค์?) เห็น
เพื่อจะได้ได้คะแนนความประพฤติเป็นนักเรียนดีเด่นและได้ทุนปลายปี (ทำเลวก็โดนทัณฑ์บน ..ชิ)

ด้วยเหตุที่ว่า ผมจึงไม่เห็นด้วยกับโอวาทของพระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ธัมมชโยโห่ฮิ้ว) ที่ว่า:
เมื่อถึงเวลาเริ่มต้นศักราชใหม่
สิ่งที่ลูกๆ
ทั้งหลายควรจะนึกถึงเป็นอันดับแรกคือ
เราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี
และขอให้ลูกๆ ของหลวงพ่อพึงระลึกเสมอว่า
โลกนี้เป็นที่สำหรับให้เราสร้างบารมี ไม่ใช่เป็นที่สำหรับให้เราเสวยผลบุญ
เพราะฉะนั้นวันคืนล่วงไปล่วงไป
เราจะใช้เวลาทุกอนุวินาที
เพื่อการสร้างบารมีให้มากที่สุด
*ลอกมาจากปฏิทินตั้งโต๊ะปี 2547 ของจ่า (ไอ้ตรงที่ผมเน้นหนานั้นเขาก็เน้นมาจริงๆ นะ..ชิ)


3.
เพราะไอ้ความคิดที่ว่า การทำบุญ การบริจาคนั้นเป็นมารยาททางสังคม หรือความเท่ก็ตาม เราจึงได้เห็น
- ข่าวภราดรฉาวโฉ่ในเรื่องการบริจาคแค่หมื่นเดียว (แล้วนักข่าวไปเสือกเหี้ยอะไรเขาล่ะ ช่างขุดให้เป็นประเด็นจริงๆ)
- ข่าวสหรัฐโดนประชาคมโลกด่า ว่าบริจาคเงินน้อยสัตว์ .. คงเพราะเป็นประเทศมุสลิมละเซ้ (..ชิ)
- ข่าวบริษัทที่เรียงหน้ากันออกทีวี ใส่ชุดผ้าไหมจ๊าบๆ แล้วยืนยิ้มให้กล้อง ถือป้ายชื่อบริษัทและจำนวนเงินเยอะๆ

ครับ..
การบริจาคเงินนั้นช่วยลดหย่อนภาษีได้ 10 เปอร์เซ็นต์ นี่ไงคือ “ผลบุญ” ที่ได้กับตัวคุณเอง
โดย “ศาสนารัฐบาล” ที่ได้ออกกติกาแห่งศีลธรรมข้อนี้ขึ้นมาให้คนทำดี (แม้เพื่อตัวเอง..ก็ยังดีวะเนอะ)


4.
ผมนับถือศาสนาพุทธครับ แต่ออกจะเป็นชาวพุทธที่ไม่เอาห่าอะไรในด้านพิธีกรรมเลย
เพราะวัย(เลย)รุ่นอย่างผมชอบคิดอยู่เสมอๆ ว่าไอ้พิธีกรรมที่เขาคิดๆ กันต่อๆ มาเนี่ย แม่งรกรุงรังว่ะ
เพราะพิธีกรรมในบ้านเราที่เห็นๆ กันน่ะ มันเกิดจากการบูรณาการระหว่างศาสนาพุทธเดิม
บวกศาสนาพราหมณ์ ผีเผออะไรเพียบ …สรุปว่ามั่วไปหมดเลย
จากสมัยที่พระพุทธเจ้ายังเปิดค่ายอินดี้ ไม่มีใครช่วยโปรโมท จนมี “สาวกแนว” ตามมาเป็นพรวน
ก่อเกิดมหาลัทธิที่ยิ่งใหญ่ในด้านปรัชญาความคิด ความรู้และความจริง (โดยไม่จำเป็นต้องติดป้ายเรียกคนให้เชื่อ)

ผมก็เลยไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่ที่เวลาถวายภัตตาหารกะแม่แล้วแม่จะเซ้าซี้ให้แตะหลัง
เพื่อที่ผลบุญจะไหลผ่านทางผิวหนัง ก่อเกิดความกำซาบลึกถึงผลบุญที่เกิดขึ้น
ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำงานหาเงินซื้อของมาทำบุญนั่นแม้แต่บาทเดียว (โอ้ว…… เห็นลูกแก้วเปล่งแสง อิ่มเอิบๆ….. ชิ…ถุย)
***ที่เขียนยังงี้มันเป็นอารมณ์ของเด็กๆ ครับ ผมว่าเดี๋ยวพอแก่ตัวไปก็น่าจะเข้าใจเหตุผลของมันเอง ..นะแม่นะ


5.
ผมดันไปเจอเปรตตอนปี 2544 (นั่นทำให้ผมได้คำตอบของชีวิตแล้วว่า ผีมีจริงว่ะ ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยยย)
กลับมาบ้าน เล่าให้แม่ฟัง แทนที่จะโดนด่าว่างมงาย แต่แม่กลับบอกให้ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
พอดีวันนั้นสบโอกาส พี่ชายคนโตของผมขี่รถไปชนจักรยาน ..เย็ด-เอ๊ย-เย็บไปร้อยกว่าเข็ม นอนซมอยู่โรงบาล
ผมเลยทวงเรื่องทำบุญล่ะแม่ ผ่านมาจนแม่งไปเกิดแล้วมั้งเนี่ย
แม่เลยให้ไปซื้อของเซเว่นในโรงบาล แล้วเดินไปตึกข้างๆ ภูเขาเล็กๆ (โรงบาลพระจอมเกล้าเพชรบุรีอยู่ติดเขาย่ะ)
ตึกนั้นเป็นตึกสงฆ์อาพาธครับ ..ผมเห็นแล้วสะดุดกึกและสว่างวาบขึ้นมาทันทีเลย
นี่ไง นี่ไง.. วิธีทำบุญที่จ๊าบๆ คูๆ โคตรๆ เลย
แม่บอกว่า พระแก่ๆ ที่มาอยู่ในตึกอาพาธเนี่ย ก็เหมือนตาลุงที่ไม่มีลูกหลานจะเอาแล้ว
ทำให้ผมคิดว่า ถ้านั่นไม่ใช่พระ ถ้าเราจะมองให้เป็นเพียงตาลุงเหงาๆ ไม่มีใครเหลียวแลละก็
โคตรน่าสงสารเลยว่ะ!!!!!!!!!!!
ผมซื้อข้าวปลาอาหารและขนมห่อใบตองอีกนิดหน่อยไปถวาย
หลวงตาแกมีสีหน้าแปลกใจระคนดีใจ รับของไปแล้วก็ให้พรเป็นภาษาบาลี (ที่ผมฟังไม่เข้าใจ ..ยังงั้นจะได้บุญไหมจ๊ะ)

โอวววววว
โอวววววว
เพราะความรู้สึกว่า แม่กูเจ๋งว่ะ เจอที่ทำบุญแบบได้ “ให้” เต็มๆ แบบนี้ได้ไงวะ
เลยมัวแต่ทึ่งจนลืมเรื่องอุทิศส่วนกุศลนั่นไปเลย …เวรกรรม!


6.
สุดท้ายนี้ขอบอกว่าอยากให้เราทำบุญกันอย่างฉลาดหน่อยครับ
อย่าไปทำเล้ย.. บุญกับวัดที่รวยๆ แล้วน่ะ
ทำไปก็ไม่ได้ห่าเหวอะไรขึ้นมาหรอก เพราะขนาดพระยังเลือกแดก เอ๊ย ฉันแต่ภัตตาหารดีๆ เลยโยม
การทำบุญในทรรศนคติของผมนั้น ไม่จำเป็นต้องเข้าวัด ไม่จำเป็นต้องถวายพระ ไม่จำเป็นต้องเสียเงิน
และไม่จำเป็นแม้แต่จะนับถือศาสนาพุทธด้วยซ้ำไป (เข้าใจใช่ไหมครับ การทำดีคืออะไร)

สนุกว่ะบล็อกวันนี้ อยากแตกประเด็นออกไปอีกมากมายเลยแต่กลัวแม่งยาวเกิน
พอเหอะๆ เดี๋ยวจะนิพพานกันหมด!



ป.ล. ทั้งนี้ การบริจาคของไปให้ผู้ประสบภัยไม่ใช่การทิ้งของเก่าเหลือใช้ที่สภาพสถุลๆ จากบ้านคุณนะครับ
คุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์บอกว่าของบริจาคภาคใต้ 100 เปอร์เซ็นต์นี่ มีที่ใช้ได้แค่ 30 เปอร์เซ็นต์
(นอกนั้นเป็นสวะอะไรไม่รู้ ที่อารมณ์ประมาณว่าหน้าที่กูคือบริจาค ก็โละเสื้อเก่าผ้าขาดให้ไป… ชิ)
ผมทำงานในกองทัพอากาศและผ่านฝูงบิน 601 ที่มีกองของบริจาคฯ มหึมาขนาดถมสนามฟุตบอลมิด (จริงๆ)
เลยรู้สึกว่า เสียดายที่ความจริงใจที่ให้กันจนมากเกินไปนั้นน่าจะเปลี่ยนเป็นเงินก็ดีเนาะ ผู้รับจะได้รับไปโดยไม่ทิ้งขว้างครับ

ป.อ. แล้วจะเล่าเรื่องผีให้ฟัง (นังบลิวบอกว่าถ้าจะเล่าเรื่องผีมันจะไม่มาอ่านบล็อกผม ก็ช่างมึงดิ ..กร๊ากกกก)

ป.ฮ. สุขสันต์วันเด็กครับ (คำขวัญปีนี้อ่านดูดีๆ เหมือนเป็น “คำสั่ง” จากนายกมากกว่านะ…. ต้องยังงั้นต้องยังงี้ ..ชิชิชิชิ)